Thursday, March 29, 2007

ฝรั่งที่คนไทยต้องรู้จัก

ฝรั่งดั้งขอ ไม่ได้มีภูมิธรรมเพียงหนึ่งเดียว
ในท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของชาติพันธุ์อารยะ
ล้วนมีรอยหยัก และปมแห่งชาติชน
อยู่ในตัวตนคนฝรั่ง ที่เราควรเข้าใจ

แนะนำหนังสือ

“ฝรั่ง” ที่คนไทยต้องรู้จัก
สมพงษ์ สุวรรณจิตกุล
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
ผู้เรียบเรียง
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, 2546

คติ มุธุขันธ์ : แนะนำหนังสือ


ที่มาของหนังสือ
ผู้เขียนและผู้เรียบเรียงทั้ง 2 คน นำเสนอภายใต้ความเปลี่ยนแปลงสำคัญของสังคมไทย หลังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจไทย 2540-2545 ในฐานะสื่อมวลชนที่วิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ-การเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองความคิดของคนไทย ซึ่งพิจารณาความเคลื่อนไหวของชาวต่างประเทศ ที่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมของไทย จึงจัดทำบทวิเคราะห์และลำดับ ถึงความเหมือนเหล่านั้นเพื่อแยกแยะให้เห็นความแตกต่างในตัวตนของแต่ละประชาชาติในฐานะของ “ฝรั่ง” ที่คนไทยมอง

เรียบเรียงประเด็นตั้งต้นผ่านหนังสือ The Europeans ของ Luigi Barzini ปัญญาชนชาวอิตาลี รวมกับแนวคิดด้านต่างๆ และบทสัมภาษณ์ปัญญาชนไทย ที่วิเคราะห์พิจารณา เพื่อให้เท่าทันและเข้าใจบางสิ่งซึ่งซ่อนอยู่ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของ “ฝรั่ง”
โครงสร้าง เรียบเรียง จัดแบ่งเนื้อหา จำนวน 9 บท ที่ประกอบด้วย

บทที่ 1 - ฝรั่ง : ชนชาติที่เราต้องต่อกร (หน้า 6-19)
รูปปกภาพแว่นขยายส่องหน้า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ปัญญาชนชาวยิว เหมือนสื่อสารให้เห็นถึงแก่นแท้แห่งปัญญาประชาชาติ “ฝรั่ง” ในความแตกต่างของความคล้ายคลึง จากวิธีคิดวิถีชีวิตของแต่ละชาติ บทเกริ่นนำอธิบายความเป็นผู้นำของฝรั่ง ที่เกิดขึ้นจาก “องค์ความรู้” ซึ่งมีอิทธิพลเหนือชาติอื่นในโลก ว่าเป็นผลจากการสั่งสมของนักคิด นักทฤษฏี และปัญญาชนมากมาย ด้วยพื้นฐานอันยิ่งใหญ่นี้คือผลลัพธ์ต่อการดำเนินชีวิตของโลกปัจจุบัน กลายเป็น “ภูมิธรรม” ดั้งเดิมอันแข็งแกร่งของฝรั่ง ซึ่งครอบครองความยิ่งใหญ่ในโลก ภาพสะท้อน

สัญลักษณ์ของ “เงินยูโร” ถือเป็นความใฝ่ฝันถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวในรูปสหรัฐยุโรป ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติในประวัติศาสตร์หลายร้อยปี สิ่งเหล่านี้คืออานิสงส์และทุกข์ลาภ ที่ทำให้ชาวยุโรปกลายเป็นคนรอบคอบคิดหน้าคิดหลัง เท่ากับคนที่มองโลกในแง่ร้ายและขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ การรวมตัวของสหภาพยุโรปจึงเป็นการสร้างอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจอเมริกา และมหาอำนาจเอเชีย ภาพประวัติศาสตร์ในแต่ละชนชาติยุโรป ได้สะท้อนถึงความซับซ้อนจากจุดกำเนิด ผ่านคุณค่าและวิถีชีวิตอันแตกต่าง

เปรียบดั่งไวน์ที่ชนชาติในยุโรปต่างผลิตขึ้นมา ด้วยความเหมือนที่มีความแตกต่าง เทียบเท่าความต่างในรสชาติไวน์แต่ละท้องถิ่น ที่ล้วนสะท้อนออกมาในความต่างของวิธีคิดแบบฝรั่ง และสิ่งเหล่านี้คือภาพที่สังคมไทยจะสามารถเข้าใจฝรั่งในเชิงลึกได้อย่างถูกต้อง เมื่อเราจำเป็นต้องสัมพันธ์ต่อรองทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยศึกษาถึงบทบาทความเป็นฝรั่ง ในฐานะของ “คน” หรือ “มนุษย์” ที่ว่า คนเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของความเจริญทั้งมวล

บทที่ 2 - ว่าด้วยชนชาติอังกฤษ ฝรั่งผู้ไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยน
( หน้า 20 - 43 )The Imperturbable British
เนื้อหาบทนี้อธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของฝรั่งชนชาติอังกฤษ โดยเชื่อมโยงจุดเริ่มวัฒนธรรมสูทดำที่เรียก “ชุดสากล” ว่ามีรากเหง้าตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ที่ต่อมาเป็นแบบแผนเครื่องแต่งกายมาตรฐานสากล ซึ่งยุโรปหันมาชื่นชมความเป็นตัวตนอังกฤษ ในความหยิ่งผยองเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ และเป็นผู้ดีที่แก้ปัญหาอย่างสง่างาม ว่ามีพื้นฐานสำคัญซึ่งยึดถือ “หน้าที่” เป็นตัวชี้นำชีวิต ด้วยความมัธยัสถ์อดทน ตรงต่อเวลา โดยเชื่อกันว่าพวกเขาต่างมีภารกิจยิ่งใหญ่อยู่ในจิตวิญญาณชนชาติตน ที่เชื่อว่า“โลกและคนบนพื้นที่ต่างๆในโลกนี้ จะต้องมีความเป็นอยู่ดีกว่านี้ หากได้รับการฝึกฝนอบรมที่ดีจากพวกเราชาวอังกฤษ”

ท่ามกลางความโดดเด่นด้านนวัตกรรมตั้งแต่ริเริ่มระบอบรัฐสภา ออกแบบสร้างรถไฟ สร้างระบบมาตราวัดที่ใช้กันทั่วโลก รวมทั้งสร้างมาตรฐานการเดินเรือ นอกจากคุณค่าในเรื่องนวัตกรรม ฝรั่งอังกฤษยังมีคุณค่าวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของภาษาพูดและวิถีชีวิตที่ถูกชื่นชมถึงภาพลักษณ์สุภาพบุรุษ เท่ากับภาพยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติมหาอำนาจอังกฤษที่มีอาณานิคมมากมาย จนกล่าวกันว่าเป็นอาณาจักรที่ “พระอาทิตย์ไม่ตกดิน” ซึ่งเกิดขึ้นจากความยิ่งใหญ่ทางการทูตและการทหาร ที่ทำให้ชาติอื่นต้องการนำเป็นแบบอย่างและเป็นให้ได้เช่นอังกฤษ

ความสามารถพิเศษเหล่านี้ของฝรั่งอังกฤษ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นคนสุขุมดั่งตัวตนที่ว่า “น้ำนิ่งที่ไหลลึก” ด้วยตัวตนที่พร้อมแสดงออกในยามวิกฤติ เหมือนมีรหัสที่ฝังในตัวคนอังกฤษ โดยเป็นรหัสจากการอบรมสั่งสอน ด้วยความรู้ความเข้าใจถ้าต้องกระทำสิ่งใดเพื่อดินแดนแห่งมาตุภูมิ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า The Seven Ideas ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นแบบคนอังกฤษ ถึงสิ่งที่ควรทำและควรวางตัว

ด้วยเหตุสำคัญจากระบบการศึกษาและเลี้ยงดู ซึ่งเป็นหัวใจแห่งวัฒนธรรมฝรั่งอังกฤษ ด้วยค่านิยม Stoics ที่คำนึงถึงสัจจะที่ยอมรับการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง ยอมรับด้วยจิตใจที่ไม่หวั่นไหว โดยยึด “หน้าที่” เป็นสรณะซึ่งกำหนดการดำเนินชีวิต อันเป็นภูมิธรรมของฝรั่งอังกฤษ ซึ่งพิสูจน์ตัวตนอันแท้จริงแห่งความยิ่งใหญ่ของความเป็นคนอังกฤษที่ยังคงมนต์ขลัง

บทที่ 3 - ว่าด้วยชนชาติเยอรมัน ฝรั่งที่กลายพันธุ์ได้ทุกเมื่อ
( หน้า 44 – 65)The Mutable Germans
บทนี้กล่าวถึงฝรั่งชาติเยอรมัน ว่าเป็นชนชาติผลิตนักปราชญ์ คีตกวีอัจฉริยะจำนวนมาก จนสามารถสร้างชาติเป็นปึกแผ่น กล่าวกันว่าในรอบ 150 ปีที่ผ่านมา อนาคตของยุโรปมักอยู่ภายใต้พฤติกรรมชาติเยอรมัน จนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในการเมืองโลก ว่าทำไมฝรั่งชาตินี้จึงมุ่งมั่นสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ จนตัดสินใจทำสงครามโลกกระทั่งจบด้วยความพ่ายแพ้ แต่ถึงจะแพ้สงครามเยอรมันก็กลับมากุมชะตากรรมยุโรป และของโลกอีกครั้งหนึ่ง

อิทธิพลของเยอรมันจึงมีผลต่อยุโรป การเข้าใจฝรั่งชาติเยอรมันจึงถือเป็นการเข้าใจอนาคตยุโรป เพราะอิทธิพลในฐานะแหล่งผลิตผลงานศิลปวัฒนธรรมและความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นเสาหลักแห่งวัฒนธรรมตะวันตกยุคใหม่นั้น เกิดจากอุปนิสัยคนเยอรมันที่พูดจริงทำจริงมีวินัยอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อบรรลุเป้าหมาย สะท้อนตัวตนการปฏิบัติหน้าที่ประดุจธรรมะในการดำเนินชีวิต เมื่อได้เชื่อมั่นสิ่งใดก็จะไม่คลอนแคลน นับเป็นความขัดแย้งของชนชาติที่พร้อมก่อสงครามแห่งความรุนแรงท่ามกลางสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ ซึ่งเยอรมันสร้างเพื่อเกิดความฮึกเหิมในชาติ

ภาพสะท้อนของฝรั่งเยอรมัน ที่ส่งผลต่อตัวตนคนเยอรมัน ได้สรุปผ่านคำกล่าวของนักปราชญ์นิชเช่ ถึงตัวตนฝรั่งชาติเยอรมันว่า “จิตใจของคนเยอรมันนั้น เปรียบเสมือนห้องหลายห้องที่เปิดหากันได้ เมื่อเจอห้องหนึ่งก็สามารถข้ามไปเจออีกห้องหนึ่งได้ และนอกจากจะเจอห้องเหล่านั้นแล้ว บางทีก็ไปเจอถ้ำและถ้ำใต้ดินซ้อนเข้าไปอีก โดยที่ความไร้ระเบียบนี้เต็มไปด้วยความน่าฉงนสนเท่ห์” และจากความลึกลับที่หยั่งไม่ถึงนี้เอง ที่มักทำให้เยอรมันมีเส้นทางซ่อนเร้นที่มักนำไปสู่ความโกลาหล ประเด็นที่น่าสนใจเหล่านี้คือภาพสะท้อนอุปนิสัยฝรั่งเยอรมัน ในฐานะชาติที่สามารถแปรเปลี่ยนได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อพบว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอุปนิสัยของชาวเยอรมันนั้น มักมีสิ่งที่ซ้อนเร้นในใจเสมอ


บทที่ 4 - ว่าด้วยชนชาติฝรั่งเศส ฝรั่งที่ชอบวิวาท
( หน้า 66 – 83)The Quarrelsome French
บทนี้กล่าวถึงชนชาติฝรั่งที่ภาคภูมิใจ ในฐานะผู้ผลิตความคิดประชาธิปไตยสมัยใหม่ และแหล่งผลิตนักปฏิวัติชั้นนำของโลก ฝรั่งเศสคือฝรั่งที่ชอบพูดว่าตัวเองคือผู้นำยุโรป ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15–18 ฝรั่งเศสถือเป็นประชาชาติที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ก้าวหน้าด้านวรรณกรรมวิทยาการ มีสถาบันการศึกษาชั้นสูงที่บ่มเพาะปัญญาชน

ภาษาฝรั่งเศสเคยถือเป็นภาษาพูดในราชสำนักของชาติต่างๆในยุโรป รวมทั้งความเป็นต้นทางอารยธรรมสังคมตะวันตก ด้วยเครื่องแต่งกายและอาหารการกิน รวมทั้งความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็เป็นส่วนหนึ่งในความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ บทเชื่อมเนื้อหาสำคัญคือสะท้อนภาพฝรั่งที่ถือว่าตนเป็นชาติที่เจริญรุ่งเรือง ภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของตนที่เกิดจากอัตตาแห่งชาวฝรั่งเศส อันมาจากอุปทานในอดีต จากความยิ่งใหญ่แห่งกองทัพฝรั่งเศส

ความภาคภูมิใจในอดีตคือบทเรียนราคาแพงในสงครามโลกที่เกิดจากความทระนงจนเกินไป และเกิดจากอุปนิสัยที่ชอบเถียงชอบวิวาท ด้วยอุปนิสัยของฝรั่งชาตินี้ที่มีคนหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน และรบรากันอยู่เสมอ จนกระทั่งปัจจุบันที่สภาพความขัดแย้งทางการเมืองก็ยังคงดำรงอยู่ ลักษณะการหวงแหนความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนเอง ทำให้คนฝรั่งเศสไม่ยอมทิ้งอุปทาน ไม่ประนีประนอม และไม่ยอมลงให้กับใคร

คือต้นทุนที่ปัจจุบันฝรั่งเศสยังคงต้องแบกภาระแห่งความเป็นผู้นำยุโรปในอดีตไว้ ท่ามกลางภาวะความรู้สึกเพื่อการวิวาทกับตนเองและผู้อื่นอยู่ตลอดไป

บทที่ 5 - ว่าด้วยชนชาติอิตาเลียน ฝรั่งที่ชอบพลิกแพลง
( หน้า 84 – 113)The Flexible Italians
บทนี้กล่าวถึงชาติฝรั่งรักสนุกที่มีความเป็นศิลปิน ที่คนส่วนมากมองชาวอิตาเลียนว่าเล่ห์เพทุบาย อันนับเป็นอคติที่ผู้คนมองฝรั่งชาตินี้ ด้วยตัวตนของฝรั่งที่ยากต่อการนิยาม ไม่สามารถกำหนดบรรทัดฐาน เพื่อทำนายพฤติกรรมในอนาคตของฝรั่งชาตินี้ได้ ด้านหนึ่งตัวตนอิตาลีก็ถือเป็นฝรั่งที่มีความสามารถ แต่มีจุดยืนและหลักการที่แปรเปลี่ยนได้ตลอด

ขณะที่ฝรั่งชาตินี้มองข้อสรุปชาวต่างชาติ ว่าเป็นเรื่องความไม่อดทนอดกลั้นต่อภาพลักษณ์สรวลเสเฮฮาไร้แก่นสาร ไม่มีระเบียบวินัย เสพสุขจนเหลือคณา แต่ฝรั่งอิตาลีกลับรู้สึกถึงความทุกข์เข็ญใจ ซึ่งสั่งสมมานานนับร้อยปีที่ใฝ่ฝันถึงรัฐอันเที่ยงธรรมยุติธรรมเข้มแข็งพ้นภัยจากศัตรู ท่ามกลางความภูมิใจและศักดิ์ศรี การเข้าใจความคิดและจิตเบื้องลึกของฝรั่งอิตาลี จำต้องเข้าใจความแปลกแยก ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าอิตาลีเลือกเวลาที่จะต่อสู้ จะสู้ก็ต่อเมื่อต้องสู้อย่างมีวินัยมีประสิทธิภาพ

ด้านหนึ่งอิตาลีถือเป็นชนชาติที่ความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นด้วยความโกลาหลเสมอ แต่ความวุ่นวายกลับมิได้ทำให้ความสามารถ ในการผลิตการสร้างสรรค์นวัตกรรมลดลง นับเป็นความมั่งคั่งในสังคมอิตาลีที่ประสบความสำเร็จ เป็นการปรับตัวในเชิงวัฒนธรรมท่ามกลางความคิดสร้างสรรค์มากกว่าแรงงาน ประเด็นสำคัญของฝรั่งชาตินี้ คือความสามารถในการจัดการกับ Public lie, Private truth อันสัมพันธ์กับวัฒนธรรมชีวิตสองมาตรฐาน ทำให้เราเข้าใจฝรั่งที่เลือกไว้วางใจพรรคพวกเดียวกัน หรือเครือญาติด้วยความจริงและสัจจะในโลกส่วนตัว มากกว่าความจริงในกฎหมาย

ชนชาติอิตาลีถือเป็นฝรั่งที่ปรับตัวกับความทันสมัยได้น้อยที่สุด เป็นชาติโบราณที่มีวัฒนธรรมมากว่าพันปี ด้วยความเชื่อและคุณค่าที่สืบทอดกันมา อิตาลีจึงเป็นชาติที่ยึดติดในความยิ่งใหญ่ของอดีต ท่ามกลางความขัดแย้งด้วยอุดมการณ์อันแตกต่างที่ได้สร้างความอ่อนแอให้เกิดขึ้น ปัญญาชนชั้นนำของอิตาลีกล่าวว่า อิตาลีชอบแลไปข้างหลังถึงความยิ่งใหญ่ของตัวในอดีต การรวมตัวสู่ความเป็นสหรัฐยุโรป อาจเป็นส่วนสำคัญเพื่อแก้ฝันร้ายของตนเองในความเป็นประชาชาติ ที่ยังต้องปรับตัวเพื่อพิสูจน์ความเป็นชนชาติที่ทรงประสิทธิภาพและหลักแหลม ที่สามารถเข้าร่วมแก้ปัญหาของยุโรปและของโลกได้

บทที่ 6 - ว่าด้วยชนชาติวิลันดา ฝรั่งผู้แยบยล
( หน้า 114 – 123)The Careful Dutch
บทนี้กล่าวถึงชาติฝรั่งซึ่งเป็นต้นแบบการรวมเป็นหนึ่งเดียวของยุโรป ที่พยายามเชื่อมโยงด้วยแนวคิดเพื่อก่อให้เกิดสันติภาพ ด้วยเชื่อมั่นว่าจะยับยั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นของสงครามได้ เมื่อทุกประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกัน จากพื้นฐานซึ่งสามารถนำรัฐสวัสดิการและระบบทุนนิยมให้วิ่งควบคู่กันไปได้อย่างสมานฉันท์ รูปธรรมสำคัญเพื่อประสานผลประโยชน์ร่วมกัน คือความโดดเด่นของฝรั่งชาตินี้ที่มีสำนึกร่วมอุดมคติ และคุณค่าต่อผืนแผ่นดินตนเองและต่อยุโรป

ท่ามกลางความมุ่งมั่นในการรวมยุโรปอันเป็นผลจากสงครามโลก ที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่วิลันดา ทำให้กลายเป็นฝรั่งที่ระมัดระวังในการประพฤติปฏิบัติตัวสูง ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ที่เคยถูกปกครองโดยฝรั่งเศส สเปน ออสเตรีย รวมทั้งศาสนจักรโรมันคาทอลิก การหล่อหลอมจากบทเรียนอันเจ็บปวดเมื่อถูกรุกรานในสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดสำนึกอย่างแรงกล้าที่จะเห็นยุโรปมีสันติภาพ คือเหตุผลสำคัญในการดำรงอยู่ของชนชาติตนเองมากกว่าเหตุผลทางการเมือง

ประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมและทักษะของภาษาพูดที่หลากหลาย ทำให้ฝรั่งวิลันดาภาคภูมิใจในความเป็นชาติที่หลากหลายทางวัฒนธรรม หล่อหลอมด้วยความอุดมสมบูรณ์ด้านเกษตรกรรม ฝรั่งวิลันดาปลูกฝังความเชี่ยวชาญด้านกสิกรรมกับจิตวิญญาณแห่งนักเดินเรือชั้นเยี่ยมมาตั้งแต่ยุคกลาง

ด้วยความโดดเด่นในฐานะชนชาติพ่อค้าทางทะเลคือความยิ่งใหญ่ที่ส่งผลถึงปัจจุบัน ในด้านหนึ่งฝรั่งชาติวิลันดามีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ความขยัน ขณะเดียวกันพร้อมสำหรับการเปิดกว้าง ซึ่งรวมความหลากหลายทางเชื้อชาติ ด้วยพื้นฐานสำคัญซึ่งหล่อหลอมบุคลิกภาพของฝรั่งวิลันดา ส่งผลต่อความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตพร้อมกับตัวตนของชีวิตที่ไม่มั่นคง

ทำให้เป็นฝรั่งชาตินักร่างสัญญา และดำเนินชีวิตภายใต้วัฒนธรรมของสนธิสัญญา ที่เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมความเชื่อมั่นและยึดมั่นต่อหลักศาสนามาสู่สนธิสัญญาแทนที่ ความศรัทธาต่อสนธิสัญญาใหม่จึงสะท้อนออกมาเสมอ สำหรับความเชื่อมั่นในการรวมตัวของชาติยุโรป

บทที่ 7 - ว่าด้วยชนชาติอเมริกัน ฝรั่งที่ใครก็คาดเดาไม่ถูก
( หน้า 124 – 135)The Baffling Americans
บทนี้กล่าวถึงชนชาติฝรั่งมหาอำนาจที่ตัดสินและกำหนดชะตากรรมของโลก นับตั้งแต่การจัดระเบียบโลกใหม่ ด้วยความยิ่งใหญ่ด้านวิทยาการสูงสุด ทั้งวิทยาศาสตร์ การทหาร การเงิน การสื่อสาร และอิทธิพลทางความคิด ที่ชนชาติในยุโรปไม่เพียงเฝ้ามองแต่ยังต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ความยิ่งใหญ่

ความชื่นชมที่ฝรั่งยุโรปมีต่ออเมริกา คือ “ความใฝ่ฝันแบบอเมริกัน” ที่เริ่มต้นการก่อกำเนิดและการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ นับเป็นความชื่นชมพึงพอใจท่ามกลางความไม่เข้าใจและไม่ไว้ใจ ถึงพฤติกรรมและอารมณ์อันไม่คงที่ของอเมริกา ที่ยากต่อการคาดการณ์ และยากต่อการคาดเดา

เฮนรี คิสซิงเจอร์ เคยกล่าวว่า นโยบายต่างประเทศของอเมริกา มักเป็นแบบดำว่ายดำผุด หรืออยู่ในสภาวะที่เต็มไปด้วยความปิติ สลับกับสภาวะที่เศร้าหมอง หรือบางทีก็เป็นแบบกระต่ายตื่นตูม ชนชาติที่ประเมินได้ยากเช่นอเมริกา จึงเป็นหนึ่งในการคำถามของฝรั่งชาติอื่นเสมอ

ตัวตนฝรั่งอเมริกามีเรื่องราวของความเป็นนักปฏิบัติ ที่มีสองภาคในตัวตนเดียวกัน ในความหมายของภาคที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ แต่ในความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่นั้น ยังส่งผลต่อภาคความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูงมากเกินไป คุณค่าท่ามกลางเรื่องราวของชนชาตินักประดิษฐ์ ที่สามารถมองถึงคุณูปการท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของผลงานการประดิษฐ์ ซึ่งกลับพบว่า อเมริกาเป็นชาติที่มีรูปแบบและรูปธรรมของความไม่อดทน จากสิ่งประดิษฐ์มากมายอันสะท้อนถึงความไม่อดทนนี้ กลับเป็นอุปนิสัยที่แท้จริงของฝรั่งชาติอเมริกา ที่ชาติยุโรปต่างพากันกังวลมาตลอด
ท่ามกลางผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายบางอย่างในความไม่อดทนของอเมริกา คือสัญญาณที่บ่งบอก ถึงเรื่องราวของความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ที่ฝรั่งชนชาติอื่นต้องจับตามองตลอดเวลา จากแนวนโยบายและตัวตนที่กลับไปกลับมาของอเมริกา

บทที่ 8 - สัมภาษณ์ ส.ศิวรักษ์ : ว่าด้วยยิว
(หน้า 136-149)
เนื้อหาบทนี้มาจากบทสัมภาษณ์ ในตัวตนฝรั่งชนชาติยิว เชื้อชาติที่กระจายอยู่ในแต่ละประชาชาติฝรั่ง ซึ่งมีบทบาทต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งมีอิทธิพลทางการเมืองต่อประชาชาติฝรั่งต่างๆ ในฐานะฝรั่งที่กุมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไว้ในกลุ่มเชื้อชาติตน โดยย้อนไปถึงต้นกำเนิดทางเชื้อชาติ จากพื้นฐานความขัดแย้งดั้งเดิม ที่แบ่งแยกความเป็นศาสนายูดายหรือศาสนายิว ออกจากศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม

โดยแนวคิดนี้คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวยิว เชื่อมั่นตามบทพระบัญญัติว่า ตนคือคนพิเศษที่พระเจ้าเลือก ท่ามกลางความขัดแย้งของแนวคิดทางศาสนา ที่ทำให้ยิวต้องต่อสู้ต่อการถูกดูดกลืนทางเชื้อชาติ ตลอดระยะเวลานับพันปี ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของความกดดัน ซึ่งสร้างให้ฝรั่งเชื้อชาติยิวมีความเป็นเลิศในโลกยุคปัจจุบัน ที่ประกอบด้วยวัฒนธรรมและองค์ความรู้ทางปัญญา สร้างสรรค์กลไกเศรษฐกิจการเงินของโลกปัจจุบัน รวมทั้งการตัดสินใจต่ออนาคตและชะตากรรมของโลก

ด้วยอำนาจของทุนและเงินในกลุ่มเชื้อชาติยิว มุมมองความโดดเด่นของนักคิดนักปรัชญาเมธีชาติยิว ซึ่งก้าวเข้ามามีบทบาทต่อการกำหนดชะตากรรมของโลก คือประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะแนวคิดทฤษฎีหรือการเข้าไปมีบทบาทในด้านองค์ความรู้ของประชาชาติฝรั่งต่างๆ ในสถาบันการศึกษาระดับสูง

หรือกำหนดองค์ความรู้วิชาการให้กับฝรั่งชาติอื่นๆ อิทธิพลทางความคิดและทางวิชาการของฝรั่งชาติยิว คือหนึ่งในฐานรากสำคัญทางการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของฝรั่งชาติต่างๆ เท่ากับการกำหนดทิศทางเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการต่างประเทศ ให้กับฝรั่งเชื้อชาติอื่นๆ เพื่อนำไปสู่บทบาทและข้อสรุปอื่นในอนาคต

บทที่ 9 - พันศักดิ์ วิญญรัตน์ : คำอธิบาย
(หน้า 150 - 159)
บทนี้เปิดตัวด้วยข้อเขียนของ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ตีพิมพ์ใน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.2515 ซึ่งปรับปรุงจากข้อเขียนของ อิชิโร คาวาซากิ อดีตเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ด้วยมุมมองถึงโครงสร้างการพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ทั้งก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้โครงสร้างของ ไซบัตซุ ที่มีการรวมตัวของนักการเมือง และนักธุรกิจขนาดใหญ่ ปรากฏตัวในรูปการค้าระหว่างประเทศหรือการทูต ซึ่งเอื้อต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศ

ภายใต้การขนานนามวิธีการทูตของญี่ปุ่นว่าเป็นการฑูตเพื่อเศรษฐกิจ โดยเชื่อมโยงตระกูลใหญ่สามตระกูล ที่ประกอบด้วย มิตซุย มิตซุบิชิ ซุมิโตโม ซึ่งกุมนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่องยาวนาน ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และอำนาจทางการเมืองที่สำคัญของญี่ปุ่น ล้วนเป็นไปภายใต้การต่อรอง ในรูปแบบของตัวแทนทางการเมืองที่เป็นตัวแทนในสภา ภายใต้สภาพที่เรียกว่า กลุ่มกดดันที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเอื้ออำนวยให้เกิดการเติบโต สนับสนุนและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมของประเทศเติบโต
รวมทั้งการเชื่อมโยงรูปแบบการคอร์รัปชั่นทางการเมืองของญี่ปุ่น ว่าเกิดขึ้นจากประเพณีอันเก่าแก่ของสังคมญี่ปุ่น ที่นับถือประเพณี พี่ๆน้องๆ ในระบบการเมืองญี่ปุ่น ที่ทำให้นักการเมืองในท้องถิ่น สามารถเชื่อมโยงเอื้ออำนวยให้เกิดการประสานประโยชน์ จนกล่าวว่าระบบการเมืองของญี่ปุ่นเป็นระบบตายด้าน และหาลักษณะผู้นำมิได้ เนื่องจากการประสานประโยชน์ในเชิงวัฒนธรรม ที่มุ่งเน้นด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ มากกว่าการมุ่งเน้นอุดมคติทางการเมือง

บทสรุป
เรื่องราวบทวิเคราะห์เพื่ออธิบายตัวตนของฝรั่งในแต่ชนชาติ ถึงความแตกต่างที่แฝงอยู่ในแต่ละประชาชาติฝรั่ง ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดวิธีคิด วิธีตัดสินใจ และการพิจารณาคัดเลือกนโยบายระหว่างประเทศ ที่จะมีผลกระทบต่อสังคมโลก
โดยอธิบายเรื่องราวจากความแตกต่างทางประวัติศาสตร์ แนวคิดทางวัฒนธรรม และบทเรียนของแต่ละประชาชาติฝรั่ง ว่ามิได้เหมือนหรือคิดในทิศทางเดียวกันทั้งหมด หากแต่ขึ้นอยู่กับรายละเอียดบางอย่าง ท่ามกลางแรงผลักดันหนึ่งเดียวของอนาคตทุนนิยม เมื่อโลกทุนนิยมกำลังก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ที่สร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการแข่งขัน และการต่อสู้ในเชิงของทุนข้ามชาติ ข้ามรัฐ ความเข้าใจต่อตัวตนที่แท้จริงของแต่ละประชาชาติ คือกุญแจสำคัญในการลำดับความสนใจ และวิธีเข้าใจประชาชาติฝรั่ง ที่ถือเป็นผู้เล่นหลักในระบบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงช่วงเวลาในการบริหารวิกฤติทางเศรษฐกิจที่อาจขึ้นได้อยู่เสมอ มิติทางประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของประชาชาติฝรั่ง คือเนื้อหาที่หนังสือเล่มนี้พยายามเรียบเรียงอธิบาย เพื่อลำดับความให้เห็น ถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากพิจารณาอดีตของตัวตนฝรั่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ว่าคิดคำนึงและใคร่ครวญสู่การตัดสินใจเช่นไร หากจะต้องกำหนดความเป็นไปของอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดทิศทางความเป็นไปของโลกในอนาคต ซึ่งกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของประชาชาติไทย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง


ใบหูซึ่งบินได้

ใบหูซึ่งบินได้

ด้วยความประทับใจ ในหญิงสาว
ซึ่งบ่งบอกเรื่องราวแห่งหัวใจ
ด้วยใบหูและการรับฟัง
หญิงสาวที่มีใบหูซึ่งบินได้

ใบหูซึ่งบินได้

9 ตุลาคม 2549


ความประทับใจมักส่งผลต่อแรงบันดาลใจอีกมากมายในชีวิตผู้คน ผมก็เป็นหนึ่งในสาวกของกฎเกณฑ์นี้ ครั้งหนึ่งจำได้ว่ามีภาพยนตร์การ์ตูน สร้างเรื่องราวให้ตัวละครเป็นช้างน้อยสีฟ้าตัวหนึ่ง มีใบหูซึ่งสามารถโบยบินได้ ด้วยความงามของเรื่องราวที่เห็น ไม่สามารถทำให้ผมจดจำอะไรได้มากไปกว่า ช้างประหลาดซึ่งบินได้ด้วยใบหู แต่เพราะผมจดจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ติดในหัวใจ หลังจากบอกหญิงสาวคนหนึ่งว่า เธอเป็นผู้หญิงที่น่าจะบินได้ เพราะเธอมีใบหูซึ่งเหมาะสมต่อการโบยบิน

ผมจดจำช้างบินได้ด้วยใบหู ท่ามกลางความประทับใจมากมายผ่านเรื่องราวของหญิงสาวคนนี้ นานนับสิบปีซึ่งผมจะรับรู้เรื่องราวบางอย่างด้วยความทรงจำ หลายครั้งที่ผมนึกถึงเธอ ในท่ามกลางคืนวันของความทุกข์ ไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดไปกว่าความโดดเดี่ยว ความทุกข์ที่โดดเดี่ยวก็เช่นเดียวกับความทรงจำในชีวิตอันย่ำแย่ เมื่อครั้งหนึ่งความเจ็บปวดทำให้ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการสิ่งใด ผมโทรหาเธอในหัวค่ำของคืนที่ชีวิตย่ำแย่ เธอถามในโทรศัพท์ว่าผมอยู่ที่ไหนเธอจะไปหา

ในท่ามกลางบรรยากาศของร้านกาแฟ จากจุดเริ่มต้นละแวกอุรุพงษ์ถึงสีลม ผมพยายามลำดับความรู้สึกนึกคิด ว่าผมอยากจะเล่าอะไรให้เธอฟังและไม่อยากเล่าอะไรให้เธอฟัง แต่เมื่อเธอมาถึงผมกลับเล่าทุกเรื่องราวแห่งความเจ็บปวดให้เธอฟัง ท่ามกลางสิ่งที่วนเวียนอยู่กับการเฝ้ารับฟัง ผมบ่นทุกเรื่องราวและเล่าทุกชั่วขณะของความทุกข์ กว่าที่ตัวเองจะได้สติตอนตีสาม บางครั้งเคยย้อนกลับมานึกถึงว่าผมเมากาแฟหรือเมาความทุกข์ จนกระทั่งไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าอธิบายสิ่งทุกข์ใจ เมื่อเธอพูดขึ้นว่า ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้ฟังเพลงอะไรก็โดนใจไปหมดนะแหละ ตอนนี้จะได้ยินแต่เพลงอกหักอยู่ตลอดเวลา

คืนนั้นเธอกลับไปพร้อมความเจ็บปวดอ่อนล้าของผมตอนตีสี่ เพื่อเธอจะกลับมาทำงานตอนเจ็ดโมงเช้า ขณะที่ผมเฝ้าขอบคุณเธอมาหลายปีสำหรับสิ่งที่มีค่าในครั้งนั้น ผมจำได้ดีถึงภาพครั้งแรกที่เห็นเธอ เธอเป็นผู้หญิงตัวสูง พร้อมท่าเดินอย่างมาดมั่นแม้จะหลบหลังเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ ขึ้นชั้น 2 ตึกกิจกรรม ธรรมศาสตร์ มาเพื่อเป็นอาสาสมัครงานตุลา ไม่มีภาพของชีวิตอุดมคติในทุกครั้งที่พูดคุยกับเธอ ไม่มีภาพของท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ไม่มีความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ วันนี้ผมลืมไปว่าเธอจบเอกอะไร แต่ผมจำได้ว่าเธอเรียนวารสารศาสตร์ คณะที่อุดมไปด้วยความใฝ่ฝันและก้าวย่างของจินตนาการแห่งอนาคต แต่สำหรับเธอ ผมไม่เคยเห็นเธอใฝ่ฝันมากไปกว่าการรับฟังน้ำเสียงของคนอื่น และความเชื่อมั่นว่าจะดูแลชีวิตคนรอบข้างเธอให้ดีที่สุด

ครั้งหนึ่งมีเพื่อนผู้ชายพูดชมเธอ ด้วยการบอกเธอว่า เธอเป็นผู้หญิงที่พูดคำว่า ไอ้เหี้ย ได้เพราะที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา น้ำเสียงลากยาวเท้าเรื่องราวปนเสียงออดอ้อนบางอย่าง วันนั้นผมเชื่อว่า เธอเป็นหญิงสาวที่พูดคำนี้ได้เพราะที่สุดในโลก แม้กระทั่งวันนี้ผมก็ยังคงเชื่อมั่นเช่นนั้น

วันงานแต่งงานของเธอในค่ำคืนวันหนึ่ง ผมไม่ได้ไปร่วมงาน ไม่ใช่เพราะไม่มีเวลา ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินใส่ซองในงานเลี้ยง หรือไม่มีมุขเด็ดกล่าวอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่เพราะผมมีคำถามในใจบางอย่าง ขณะที่ผมโทรศัพท์ขอโทษเธอในค่ำคืนนั้น ด้วยข้ออ้างว่ามีธุระวุ่นวายกับงานที่ไม่เสร็จสิ้น ผมอ้างว่าคงต้องใช้เวลาเยอะในการคลี่คลายงานที่กองอยู่ ทั้งที่โกหกแต่ผมก็รับรู้ถึงความแย่ซึ่งปรากฏตัวในใจ แต่เพราะผมไม่รู้ว่าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ใดมอบให้กับเธอได้ ในวันที่พิเศษสุดของชีวิตหญิงสาว ในค่ำคืนอันงดงามที่ไม่ผมสามารถหาของขวัญมอบให้เธอ

บ่อยครั้งที่มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ในชีวิตเธอ จากหน้าที่การทำงาน จากรายละเอียดของชีวิตทางธุรกิจ ในงานซึ่งเธอรับผิดชอบ ในความฝันบางอย่าง และในแต่ละภารกิจของชีวิตเธอ นานปีกว่าจะมีโอกาสนั่งกินข้าวและบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตให้กันฟัง วันนี้ผมรู้ว่าเธอเติบโตขึ้นมาท่ามกลางแสงแดดและสายลม ที่เธอได้โอกาสในการโบยบิน ผมรู้ว่าเธอได้พยายามทำสิ่งที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด

นานหลายปีกว่าจะรับรู้และเข้าใจว่า ใบหูที่ใหญ่ของเธอ อาจเป็นคุณสมบัติพิเศษในยามอยู่กับผู้คน เป็นใบหูที่คอยรับฟังเรื่องราวมากมาย จากน้ำเสียงและหัวใจของคนแต่ละคน ผมเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า เธอเป็นหญิงสาวที่มีความพิเศษอยู่ในตัวตนของชีวิต วันนี้ผมจำได้พร้อมทั้งเรียนรู้เรื่องราวของความทรงจำ จดจำในทุกขณะเวลาของชีวิตเพื่อน แม้จะห่างไกลกันในแต่ละภารกิจ หรือห่างกันแต่ละระยะทางของชีวิต แต่ผมยังจำได้พร้อมน้ำเสียงที่เธอบอกกล่าวว่าหลังการคุยโทรศัพท์ ว่าตอนนี้เธออยากมีลูก วันนี้เธอเตรียมพร้อมที่จะเป็นแม่คน

ผมคิดว่าสักวันหนึ่ง จะมีช้างน้อยตัวเล็ก ซึ่งมีใบหูคล้ายแม่ช้างใบหูใหญ่ โบยบินท่ามกลางความงดงามของชีวิต และผมจะได้มีโอกาสเห็นและจดจำเธอ ช้างน้อยซึ่งมีใบหูโบยบินไปสู่ความงดงาม และผมคิดว่าวันนี้ ผมรู้แล้วว่าผมมีของขวัญที่ดีที่สุด สำหรับมอบให้หญิงสาวคนนี้ได้แล้ว หญิงสาวคนที่ผมเชื่อว่า เธอจะมีวิธีบอกสอนให้ช้างน้อยสีฟ้า รู้จักการใช้ใบหูโบยบินสู่ความฝัน และโบยบินท่ามกลางผู้คน

ผลัดแผ่นดิน

ผลัดแผ่นดิน

วันคืนบอกกล่าวเรา
เมื่อคราวน้ำเปลี่ยนสาย
ลมเปลี่ยนทิศ
แผ่นดินเปลี่ยนผู้ครอง
ความเจ็บปวดล้วนบังเกิดขึ้น

ผลัดแผ่นดิน

17 มีนาคม 2550

เมื่อวันคืนบอกกล่าวให้เรารู้ว่าเมื่อคราวน้ำเปลี่ยนสาย ลมเปลี่ยนทิศ
และแผ่นดินเปลี่ยนผู้ครอง
รอยไห้อันเจ็บปวด ย่อมบังเกิดขึ้น


การกล่าวต่อเนื่องติดต่อกันเช่นนี้ดูเหมือนจะมีนัยยะว่าแผ่นดินย่อมว่างกษัตริย์ไม่ได้ เพราะการเว้นว่างนั้นอาจนำไปสู่ความเสียหายวุ่นวายต่อบ้านเมือง
แต่ปัญหา "สุญญากาศ" ของกษัตริย์อาจไม่ได้หมายความเพียงแค่ช่วงเวลาขณะผลัดเปลี่ยนกษัตริย์พระองค์เก่ากับพระองค์ใหม่เท่านั้น ปัญหาของช่องว่างนี้เริ่มตั้งแต่พระมหากษัตริย์พระองค์เดิมแสดงพระอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นว่ารัชสมัยใกล้จะสิ้นลงแล้ว ก็สามารถเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ขึ้นได้ ช่วงเวลาแห่งการผลัดแผ่นดินนี้เอง จึงเป็น "ความว่าง" ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายที่มีผลต่อราษฎร ขุนนาง เจ้านาย ตลอดจนกระทั่งแผ่นดินทั้งแผ่นดินเช่น

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาช่วงเวลาของการผลัดแผ่นดินบางคราว ก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง การทำสงครามกลางเมือง การลอบสังหาร การฆ่าล้างแค้น แม้กระทั่งการฆ่าล้างครัว ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เกิดการผลัดแผ่นดินทั้งสิ้น ๘ ครั้ง มีบางครั้งที่สงบเรียบร้อย บางครั้งอาจจะขัดแย้ง แต่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ต้องเสียเลือดเนื้อ และเป็นเพียงครั้งเดียวที่เรียกได้ว่า เกิดกบฏชิงราชบัลลังก์เหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้จะมีความเรียบร้อยแต่ก็ใช่ว่าทุกครั้งจะ "ราบเรียบ" หรือเป็นไปอย่างรอมชอมทั้งหมด ตรงกันข้ามการผลัดแผ่นดินแต่ละครั้งล้วนแต่มี "เงื่อนไข" ที่พ่วงติดมาด้วยทุกครั้ง เงื่อนไขเหล่านี้เอง ทำให้การผลัดแผ่นดินแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ

โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า
ใครจะได้เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป และใครที่พลาดบัลลังก์อันสูงสุดนี้
บทขึ้นต้นที่น่าสนใจสำหรับยุคสมัยนี้ ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และท่ามกลางความหวาดระแวง ภายใต้นิยามของขั้วอำนาจเก่า และคลื่นใต้น้ำ จากทั้งอดีตรัฐบาลและผู้สนับสนุนในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์สนุกสนาน หรือเรื่องถกเถียงตามวงกาแฟการเมืองเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ กลับสะท้อนความเจ็บปวดของแผ่นดินไว้อย่างเยือกเย็น เสียวถึงกระดูกสันหลัง

เมื่อเรามีโอกาสย้อนมองวันเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์รัฐสยาม ข้อความข้างต้นที่ปรากฏขึ้นนั้น ปรามินทร์ เครือทอง เขียนไว้ในนามบทขึ้นต้นของเรื่องจากปก ในงานเขียนเดือนมิถุนายน 2549 ของสำนักศิลปวัฒนธรรม ถึงคราวแห่งความเปลี่ยนแปลงในกรุงรัตนโกสินทร์ ภายใต้โลกทรรศน์แบบจักรวาลวิทยา ที่มีกษัตริย์เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ ในแต่ละความหมายของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนมีเรื่องราวแห่งการประหัตประหาร และตัดคอผู้คนไปมิใช่น้อย

แต่ใช่ว่าเมื่อเราเห็นความเปลี่ยนแปลงด้วยอนุสติ จนสามารถย้อนกลับมาทบทวนต่อความจริงในทุกวันนี้ ว่าทำเช่นไร เราจึงจะไม่ย้อนวันกลับหากลียุค วันคืนในปัจจุบัน ท่ามกลางวาระซ่อนเร้นของรัฐบาล และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ที่พยายามไล่ต้อนพื้นที่ทางการเมืองของรัฐบาลทักษิณ ทั้งในเชิงอำนาจเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม หรือกระทั่งไล่ล่าพื้นที่แห่งการดำรงอยู่ของผู้คนที่สนับสนุนรัฐบาลทักษิณ ความหมายที่ย้อนรอยแทบไม่แตกต่างกันนี้ สร้างให้เราสะท้อนใจได้ไม่ยากนักว่า วันนี้เรากำลังประหัตประหารผู้คน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณ

วันนี้ในบ้านเมืองของเรา เมืองไทยที่มีรอยยิ้ม กำลังมีการฆ่าฟันผู้คนในทางพื้นที่ทางความคิด อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ในด้านหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยเฉพาะภาพสะท้อนจากงานเขียนของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในงานศึกษาเรื่องการเมืองสมัยพระนารายณ์ และงานเขียนของพระเจ้าตาก ต่างระบุยืนยันถึงความอ่อนแอที่สำคัญยิ่งของกรุงอโยธยา ว่าการผลัดแผ่นดินที่เกิดขึ้น จากทั้งเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง หรือขุนศึกที่ขึ้นมาครองความเป็นเจ้า ได้สร้างความอ่อนแออย่างปฏิเสธไม่ได้ การฆ่าฟันผู้คนที่เคยเป็นผู้จงรักภักดีต่อเจ้าผู้ครองแผ่นดินเดิม เป็นส่วนสำคัญที่สร้างให้เกิดความอ่อนแอในกาลต่อมา

กรณีการลากคอข้าราชบริพาธ ทั้งชาวสยาม และชาวต่างชาติ ในยุคหลังสมเด็จพระนารายณ์ รวมทั้งการปิดประเทศไม่ข้องแวะ ไม่คบค้า ทั้งทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ศิลปะวิทยาการ หรือกระทั่งการไม่คบกับฝรั่งดั้งขอ เจ๊กจีน ยุ่นปี่ ก็คือส่วนสำคัญที่ทำให้เราระลึกถึงรอยหยักของประวัติศาสตร์ที่ยับย่น อย่างที่เราไม่อาจปฏิเสธไปได้ ความหวาดระแวงอันเกิดจากความกลัว ว่าผู้คนเหล่านี้จะรวมตัวกัน เพื่อกลับมาโค่นแผ่นดิน พลิกแผ่นดินเหมือนพลิกดินหน้าเดิม ให้กลับมาเรืองอำนาจนั้น คือโจทย์ที่ฝังใจคนมาใหม่ ให้จำต้องกระทำอำมหิตกับผู้คนในแผ่นดินเดียวกัน

ไม่แปลกใจนัก หากเราจะได้เห็นแขกต่างบ้าน ผู้คนต่างเมือง ยาตราเข้ามารับสนองงานในแผ่นดินใหม่ ก็ในเมื่อเหตุผลหลักที่ยากปฏิเสธ เมื่อหันไปทางใดก็ไร้คนมีฝีมือ ผู้มีปัญญาที่พอจะไหว้วานให้สนองคุณแผ่นดินได้ ในเมื่อกุดหัวตัดคอไปจนสิ้น ไม่นับญาติติโกโหติกาหลายสาแหรก ที่นอนนิ่งในหลุมเพียงเพราะมีสายเลือดเดียวกับยุครุ่นเรืองในแผ่นดินก่อน

ความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ในวันนี้ เมื่อเรามีโอกาสเห็นความจริง จากการกุดหัวผู้คนทางอัตลักษณ์ ตัดพื้นที่ของชีวิตพวกเขา ด้วยการขุดคดีความอันมิชอบ ขุดความเลวร้ายที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง เอาขึ้นมาปะหน้าผากและจับตัดหัวในโลกสมัยใหม่ จนคนมีปัญญามีฝีมือ ที่บางครั้งก็ไม่ได้น้อมตัวน้อมใจไปรับใช้ระบอบทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จำต้องหลบหน้าหนีให้พ้นจากภัย อันเกิดจากวาระซ่อนเร้นในวันนี้

ความสำคัญของประวัติศาสตร์ ไม่เพียงทำให้เรามองเห็นรอยเท้าในปลักเท่านั้น แต่น้ำที่นองในปลักเมื่อเวลาผ่านไป ที่นำให้ตะกอนนิ่งตัว น้ำในรอยเท้าใสขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้เราส่องใบหน้า มองเงาหูเงาหัวได้ชัดเจน โดยไม่ต้องตักใส่กะโหลกให้เจ็บใจเท่านั้น

การมองเห็นตัวเราจากภาพของอดีต คือสิ่งที่เราควรจะนำมาใช้ในวันนี้ หากเราจะต้องเข้าใจผู้คนในประเทศนี้บ้าง การแยกแยะระหว่างผู้คน การมองให้เห็นว่าเขาเหล่านั้นมีประโยชน์ มีปัญญา มีความสามารถเพียงพอที่จะนำกลับมาเติมเต็มการพัฒนาประเทศให้วัฒนานั้น ไม่ใช่เพียงการพูดต่อสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังต้องมองถึงการปฏิบัติในทุกวันนี้ด้วย

การไล่ต้อนผู้คนที่มีความสามารถ และไม่ได้ฝักฝ่ายกับระบอบทักษิณให้ต้องตกแผ่นดิน หรือฝังตัวตนของเขาทางสังคมไว้ในพื้นที่ ก็คือจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลังยุคเสื่อมแห่งแผ่นดินนี้ ที่ไม่ต่างจากรอยอดีตสักเท่าใดนัก

INVISIBLE DREAM

สุดมือเอื้อมคว้า ข้าจะฝัน กล้าหาญ รานรบอริร้าย แรงน้อย เหนื่อยอ่อน สู้มิรู้ถอยดั่งใจหวัง จะลอยลิบ หยิบดวงดาว จะไขว่คว้า อาจจะล้ม เซถลามากี่ครั้ง ก็ยังรักยุติธรรม